วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สาง

      คงเคยได้ยินคำว่า "ผี สาง เทวดา"  นะครับ จากคนเฒ่าคนแก่ได้เล่าให้ฟัง ทั้งจากผู้รู้ทั้งหลาย  สาง  คือ อสุรกาย หรือ เป็น ปอบ แต่แก่กล้ากว่า ซึ่งส่วนใหญ่มักจะแฝงอยู่ตามศาลเจ้าหรือศาลปู่ตา ว่ากันว่าเป็นบริวารของเจ้าพ่อหรือเจ้าปู่ที่เลี้ยงไว้รักษาสถานที่นั้นๆ หรือผู้ที่มีวิชาอาคมเลี้ยงไว้ใช้งานเป็นต้น







      ส่วนรูปร่างของสาง จากผู้รู้บอกว่า รูปร่างใหญ่ ตัวสีดำ มีขนเต็มตัว ตาสีแดงเล็บยาวซึ่งจะเป็นสัตว์ เช่น หมี หรือ ลิงตัวใหญ่ๆ เหมือนคนแต่ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้จะกินของดิบของคาว หรือเลือด เป็นอาหาร
          
     เมื่อถูกสิ่งเหล่านี้กระทำ จะทำให้ปวดหัว ปวดตา เหนื่อย บางครั้งปวดตามแขนขา(อาการจะมีมากกว่านี้ บางครั้งถึงชีวิต) คือ เป็นแบบไม่มีสาเหตุ กินยาก็ไม่หาย นอกจากเขาจะหยุดกระทำหรือขยับออก อาการก็จะคลายไปเอง
         
     สำหรับคนที่ีถูกสิ่งเหล่านี้เข้าสิง จะไม่สู้หน้าคน คอยก้มหน้าก้มตา มักเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร หงุดหงิดไม่เข้าใกล้พระหรือสิ่งศักสิทธิ์...เป็นต้น
         
     การป้องกัน ให้หาพระเครื่อง สิ่งศักสิทธิ์ หรือเครื่องราง พกติดตัวเพื่อปกปักรักษา ที่สำคัญให้หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระจะดีมาก กรณีที่เราไม่สามารถช่วยตัวเองได้คือถูกสิง ขอแนะนำว่าให้หาครูบาอาจารย์ที่ท่านรักษาทางด้านนี้ช่วยรักษาให้จะดีครับ... 




นะโม 3 จบ

     เป็นเรื่องที่ยายเล่าให้ฟังเลยนำมาเล่าต่อ เมื่อตอนที่ยายเป็นสาวรุ่นอายุ 17 ปี ท่านได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ซึ่งปัจจุบันท่านได้ย้ายมาอยู่ที่ อ.ชุมพวง จ.นครราชสีมา ซึ่งสมัยก่อนการเดินทาง ถ้าไม่เดินเท้าก็ใช้เกวียนหรือไม่ก็ขี่ม้า รถยังไม่มีเหมือนปัจจุบัน ท่านได้เดินทางไปกับพี่ชายและได้มาพักค้างคืนที่บ้านงิ้ว อ.วาปีปทุม โดยพักที่วัด ซึ่งวัดอยู่นอกหมู่บ้านและมีทางที่ชาวบ้านใช้สัญจรผ่านวัด โดยยายพักที่ศาลาหลังเตี้ย ใต้ถุนศาลาเป็นคอกม้า ท่านนอนตรงบันไดขึ้นศาลาพอดี






     ในคืนนั้นฝนตกแรงมาก ตกนานพอสมควร พอฝนเริ่มซาลงก็มีแสงไฟดวงนึง เข้าใจว่าเป็นแสงไฟของชาวบ้านเขาไปหาจับกบจับเขียด แสงไฟเลื่อนมาช้าๆ แล้วมาหยุดที่บันไดขึ้นศาลา  คุณพระช่วย!..ที่เห็นนั้นไม่ใช่ชาวบ้านแต่เป็นพระ เป็นพระไม่มีหัว ห่มจีวรมือถือเทียน ท่านตกใจมากจะร้องก็ร้องไม่ออก จะเรียกพี่ชายหรือหลวงพ่อก็ไม่กล้า  (ท่านเรียกผีพระนั้นว่าผีเผต(เปรต))  ขณะที่ผีนั้นกำลังก้าวขึ้นบันได ตอนนั้นท่านนึกอะไรไม่ออกนึกได้อย่างเดียวคือ  นะโมตัสสะ  พอท่องจบแรก ผีนั้นหยุดแล้วยืนนิ่ง พอจบสอง แสงเทียนเริ่มอ่อนลง พอจบสาม แสงเทียนดับวูบลงพร้อมกับร่างนั้นหายไปด้วย  จากนั้นมาไม่มีอะไรมารบกวนอีก จนเช้าท่านจึงเล่าให้พี่ชายและหลวงพ่อฟัง ท่านว่าคงเป็นพระที่ทำผิดในขณะบวชเลยได้รับทุกข์อย่างนี้....

   
  ..นี่แหละครับ อานุภาพของ นะโม.....  




อาถรรพ์คนก่อนตาย

    
     เป็นเรื่องแปลกๆ เกิดที่วัดแทบจะทุกครั้ง คือก่อนที่จะมีคนตายคราใด เหมือนจะมีคนมาล้างถ้วยล้างจานที่ห้องครัวในวัด ซึ่งเป็นวัดบ้าน กุฏิที่ท่านพักนั้นเป็นสองชั้น มีห้องอยู่8-10 ห้อง จะมีห้องนึงใช้เก็บของคนที่ตายแล้วเช่นตะกร้า เสื้อผ้า ถ้วยชาม ..และมีอีกห้องเป็นห้องเก็บเครื่องครัว กุฏิจะมีชานยื่นไปทางบันได ซี่งใช้สำหรับล้างถ้วย ล้างจาน คืนนั้นประมาณ 2-3ทุ่ม ขณะที่หลวงพ่อกับพระลูกวัดนั่งฉันน้ำปานะอยู่เพลินๆ พลันได้ยินเสียงคนเดินสรวลเสเฮฮากัน ผ่านเข้ามาในกุฏิไปที่ห้องเก็บเครื่องครัว แล้วเดินกลับไปที่ชานระเบียง เขากำลังล้างถ้วยล้างจาน เสียงเทน้ำ เสียงไอ เสียงถ้วยชามกระทบกัน พระที่กำลังฉันน้ำปานะพลันชะงัก แล้วมองไปยังที่มาของเสียงโดยไม่ได้นัดหมาย พระหนุ่มกำลังรีบลุกเข้าห้องหลวงพ่อดึงแขนไว้ ท่านว่า "อย่ากลัวเลยท่าน เดี๋ยวผมจัดการเอง " พร้อมกันนั้นหลวงพ่อท่านร้องไปว่า  "ทำอะไรน่ะ" เสียงล้างถ้วย เสียงเทน้ำเงียบ...ไม่มีอะไร ...ซักพัก มีเสียงดังขึ้นมาอีก (ทั้งๆที่ในกุฏิเปิดไฟสว่างมองเห็นทุกมุม)  ท่านรู้แล้วว่าไม่ใช่คน ..ท่านเลยตวาดไปอีกว่า "มาทำอะไร รบกวนคนอื่นเขา "...เงียบ...ซักพักมีเสียงอีก คราวนี้เสียงดังกว่าเดิม เหมือนกับว่าเขากำลังโกรธ เสียงขว้าง ถ้วยชาม ลงกุฏิทั้งถ้วยทั้งแก้วเสียงแตก.. ดังเคล้งคล๊าง ..หลวงพ่อท่านตกใจใหญ่คิดว่า เป็นถ้วยแตกจริง เลยให้หลวงพี่มาดู ที่ชานระเบียง ไม่มีอะไร ถ้วยไม่มี พื้นก็ไม่เปียก แก้วแตก ถ้วยแตกก็ไม่มี เอาแล้ว โดนหลอกทั้งวัด...
    





     มาตอนเช้าได้ข่าวมีคนตายในบ้าน ป่วยตาย ท่านว่าเป็นวรภูติ(ทางภาคอีสานเขาเรียกกัน) เขาออกจากร่างก่อนตาย  ซึ่งบางครั้งจะเห็นเป็นคนมาเก็บฟืน ผ่าฟืน  แต่ครั้งนี้หนักกว่าที่เคยเจอ เล่นเอาท่านตกใจเหมือนกัน...


ผีบังบด


     ผีบังบด คือ ชาวเมืองลับแล หรือพูดอีกอย่างก็คือ คนธรรพ์ มีทุกอย่างเหมือนคนเราทุกประการ แต่เป็นผี มีอยู่ทุกที่ จะเป็น ตามป่า โขดหินใหญ่ หุบเหว จะเป็นภพซ้อนภพ อย่างที่ประสพมา คือที่ อ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นวัดป่าแห่งนึง บริเวณวัดจะเป็นโขดหินน้อยใหญ่ ทั้งพลานหิน และมีธารน้ำไหลผ่าน พระที่วัดท่าน ว่าเคยมีพระ ต่างถิ่น มาปักกลดที่นั่น แล้วทำไม่ถูกคล้ายๆว่าลองภูมิเจ้าที่ ไม่นานเห็นผลท่านรีบเก็บอัฐบริขารแล้วรีบออกมาจากที่นั่นในตอนกลางคืน โดยไม่บอกใคร พอดีผมไปพักที่วัด ท่านจะมีห้องสำหรับโยมมาพักโดยเฉพาะ ที่ผมพักนั้นตั้งอยู่บนพลานหินติดป่าไผ่และมีธารน้ำไหลผ่าน ช่วงนั้นเป็นหน้าฝน แปลกมากที่วัดมีแต่ผมและหลวงพี่กับพระอาจารย์ สองรูปเท่านั้น แต่ตอนเช้าจะได้ยินเสียงคนหลายคนร้องเรียกกัน ดังมาจากทางป่าไผ่หลังห้องพัก ร้องเรียกให้ปล่อยวัวออกคอก บ้างก็มีเสียงเด็กร้องไห้ เสียงจอกแจก จอแจ เหมือนเป็นหมู่บ้านนึง






พอตกค่ำมาก็ได้ยินเสียงไล่วัวเข้าคอก เสียงเด็กร้อง เสียงทำกับข้าว เป็นอย่างนี้ประจำ ผมได้แต่ปลอบใจตัวเอง ไม่มีอะไรน่า พอมาตอนประมาณสามทุ่มกว่าๆ ได้ยินเสียงคนทิ้งไม้กวาดข้างห้อง ทั้งที่ห้องนั้นไม่มีใคร ที่พักจะเป็นห้องแถวครับ ในห้องแถวนั้นมีผมพักคนเดียว คราวนี้เป็นตอนกลางวัน นอนคนเดียวในห้องกำลังเคลิ้มหลับเหมือนฝันเป็นแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนตัวผมตกจากที่พักไปทางป่าไผ่ มองไปทางลำธาร จะเป็นทุ่งนามีกระท่อมอยู่หลายหลัง แต่ละหลังห่างกันพอสมควรพร้อมกับมีหมอกลง และมีแสงไฟส่องมาจากกระท่อมแต่ละหลัง หลังคากระท่อมมุงด้วยหญ้าเหมือนที่บ้านเราเปี๊ยบ และที่ผมพักนั้นจะมีกระท่อมอยู่หลังนึงอยู่ใต้กอไผ่ บนกระท่อมจะมีผู้หญิงร่างท้วมวัยกลางคนนั่งอยู่บนกระท่อม พร้อมกับมีถ้วยชามอยู่เต็ม ในถ้วยจะมีน้ำพริกและมีข้าวเหนียว ผมเอื้อมมือไปหยิบข้าวเหนียว ปั้นจิ้มน้ำพริก ยื่นเข้าปากเคี้ยว ทั้งข้าวและน้ำพริกร้อนมาก ต้องรีบคายทิ้ง กินไม่ได้ ได้ยินเสียงบอกว่านั่นไม่ใช่ของๆเรา!...ผมสะดุ้งตื่น..โฮ่!..ฝันไป.....

     เล่าให้ผู้เฒ่าผู้แก่แถวนั้นฟัง ท่านว่า เป็นผีบังบด ท่านว่าอย่างงั้น.....


กระดูกผีตายโหง

     ไสยศาสตร์มนดำ   มีหลายอย่าง และการกระทำก็มีหลายแบบขึ้นอยู่กับว่าผู้กระทำมุ่งแบบไหน เช่นมุ่งเอาชีวิต ทำให้เจ็บป่วยทรมาน หรือทำให้พิการเป็นอำมพาต  ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง ที่เกิดกับเพื่อนผู้เขียนเอง เท่าที่เห็นมาผู้กระทำไม่ได้หมายเอาชีวิต  แต่ทำให้เจ็บป่วยทรมาน เสียเงินเสียทอง ดีที่ว่าเขาป่วยไม่นานแล้วได้พบหลวงพ่อท่านรักษาให้ คือแก้ให้ทัน

     ส่วนอาการของเขานั้น  ภายนอกก็ดูปกติดี เหมือนไม่มีอะไร ทั้งผิวพรรณ ทั้งสีเล็บก็ปกติ แต่เขามักเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร บางครั้งเหม่อลอย และตัวเขาเองบอกว่า จะได้ยินเสียงคนพูดกล่อมในหูตลอดเวลา บางครั้งเป็นเสียงผู้หญิง บางครั้งเป็นเสียงผู้ชาย บ้างด่าเขา บ้างควบคุมให้เขาทำตามที่สั่ง ถ้าไม่ทำตาม เขาก็จะปวดหัวปวดตา เหนื่อย ทรมาน ไปหาหมอก็ได้ยาคลายเคลียด บ้างก็เป็นยาพารา พอกินแล้วก็ปวดทรมานเหมือนเดิม เป็นอย่างงี้ตลอด จนตัวเขาเองทนไม่ไหวบอกให้ญาติพาไปหาพระที่ท่านรักษาด้านไสยสาศตร์ พอดีป้าข้างบ้านแนะนำว่ามีหลวงพ่อท่านมาปักกลด ที่ป่าท้ายหมู่บ้าน ญาติเลยพาผู้ป่วยไปหาหลวงพ่อ  

     ท่านกำลังสร้างวัด ที่วัดมีพระ 4 รูป พอไปถึงก็แต่งขันห้า คือ มีเทียนห้าคู่ ดอกไม้ห้าคู่ เพื่อให้ท่านดูก่อนว่าป่วยเพราะอะไร  พอได้ชื่อวันเดือนปีเกิดแล้วท่านนั่งหลับตาแป็บนึง พอลืมตา ท่านบอกว่าโดนของ  เป็นกระดูกผีตายโหง เขาบดใส่น้ำให้กิน ตอนนี้เขาเดินของไปไว้ตามจุดต่างๆแล้ว ดีที่มาทัน จุดที่ว่านั้นมีต้นคอ ตามข้อมือ หัวไหล่ ท้อง สะโพก ที่สำคัญคือศรีษะ  ท่านเลยให้ญาติคนป่วยไปหาไข่ไก่มา 4-5 ฟอง พอได้ไข่มาแล้ว ก็ทำพิธีอยู่ครู่นึง แล้วนำไข่ไปโยนเพื่อดูว่าผู้ที่กระทำมานั้น เขาแก่กล้าแค่ไหน ท่านบอกว่าคนที่กระทำมาเขารู้ตัวแล้ว แปลกมากทั้งที่ไข่นั้นญาติคนป่วยที่มาด้วยกันเป็นคนไปซื้อมาเอง และเป็นไข่ดิบ พอหลวงพ่อท่านโยนขึ้นสูงๆ ตกลงมากับไม่แตก ท่านว่าถ้าโยนถึง 7 ครั้งแล้วไข่ไม่แตก จะไม่ถอนเพราะทางนู้นเขาแข็งกว่า แต่สำหรับของเพื่อนผมแล้ว โยนถึงเจ็ดครั้ง ครั้งที่เจ็ดแตกพอดี ท่าน อุทานว่า " แข็งมาก! " เหงื่อท่านโทรมกาย แล้วท่านเอาไข่ 3 ฟอง มากลิ้งไปตามตัวของผู้ป่วย ตามแขน ตามขา ที่ท้อง แล้ววนรอบหัว พอเสร็จแล้วก็เคาะไข่ให้ดู ใบแรก มีเล็บมือ ใบที่สองเห็นเป็นกระดูกเท่าปลายนิ้วก้อยมีเลือดติดมาด้วย ซึ่งตอนนั้นกระดูกยังสั่นอยู่ ท่านห้ามว่า " อย่าไปแตะ มันยังไม่ตาย " ซักพัก กระดูกก็หยุดดิ้น คือถ้าไปแตะตอนที่มันยังดิ้นอยู่ กระดูกก็จะเข้าไปในร่างคนนั้น ท่านบ่น " คนเราใจทำด้วยอะไรทำได้ถึงขนาดนี้ " จากนั้นท่านก็กันให้ พอเสร็จแล้วก็กลับบ้าน  

     พอกลับมาถึงบ้านอาการก็ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ แต่เพื่อนก็ไปหาท่านบ่อยๆไปอาบน้ำมนต์ บ้างก็ไปทำความสะอาดเสนาสนะ.. หลังจากนั้นมาเพื่อนเล่าให้ฟังทีหลังว่า  ตอนที่ท่านกลิ้งไข่ไปตามตัวตามหัวนั้น เจ็บมากรู้สึกเหมือนกับว่าไข่กำลังดูด และมีอะไรไม่รู้เย็นๆร้อนๆ ไหลจากส่วนต่างๆของร่างกายไหลเข้าไปในไข่ 

      นี่แหละครับกระดูกผีตายโหง ตอนกินเข้าไปเป็นน้ำ แต่พอถอนออกมาเป็นก้อน  มีหลายรายเหมือนกันที่เจอกระดูกผีตายโหง บางคนเขาเอากระดูกไปฝังไว้หลังบ้าน คนในบ้านคุ้มดีคุ้มร้าย บางวันพากันฟ้อนรำทั้งบ้าน ดีที่มีคนพาไปหาหมอที่เขารักษาทางด้านนี้ทัน เขาดูแล้วว่าเป็นกระดูกผีถูกฝังในบริเวณบ้าน เขามาขุดก็เจอ คนในบ้านนั้นอาการก็ดีขึ้นเป็นปกติ อีกราย ขัดแย้งเรื่องที่ทำกินอยู่บ้านติดกันมีกำแพงกั้น  เวลาเขาทำ เขาก็ขุดหลุมไปใต้ฐานกำแพงล้ำเข้าไปในเขตบ้านอีกหลังนึง แล้วนำกระดูกผีตายโหงยื่นเข้าไปในเขตบ้านนั้น จากนั้นมาคนในบ้านก็ป่วย เทียวรักษาเทียวหาหมอตลอด...

     คนทุกวันนี้  ผิดใจกันนิดหน่อยเขาก็ทำ บ้างก็เป็นญาติพี่น้อง ทำกันเอง เพียงเพราะฉโนดที่ดินใบเดียว ...

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พุทธาภิเษก

จริงหรือไม่ที่ พระเกจิอาจารย์ที่ท่านนั่งปรกปลุกเสกหลายรูปแล้วท่านปล่อยพลังไม่เต็ม

     จากที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาเล่าให้ฟังนั้น ท่านว่าส่วนใหญ่แล้วถ้านั่งปลุกเสกหลายรูปจะปล่อยพลังไม่เต็ม เพราะต้องกักพลังไว้ส่วนหนึ่งไว้ป้องกันตัวเอง จากการถูกลอง ทั้งจากเกจิอาจารย์ด้วยกันเอง หรือจากภายนอกปรัมพิธี  ทำให้พลังยังไม่เต็มที่

    มีครั้งนึงท่านได้จัดงานพิธีพุทธาภิเษกขึ้นที่วัด และท่านก็ร่วมปลุกเสกด้วย ขณะที่กำลังอธิฐานจิตอยู่นั้นท่านต้องเสียสมาธิเพราะ พระเกจิที่นั่งฝั่งตรงข้ามได้ลองท่าน โดยการปลุกธาตุไฟ แล้วปล่อยมาใส่ท่านๆเลยปัดคืนไป แล้วไปโดนพระเกจิรูปนั้นๆนั่งตัวสั่นเพราะโดนของๆตัวเอง พร้อมกับเรียกให้ลูกศิษย์ไปเอาเทียนเล่มบาทมาคู่หนึ่ง พอได้มาแล้วก็บริกรรมอยู่พักนึงอาการก็สงบลง 
    
    ท่านว่าเป็นอย่างงี้ตลอด ถือเป็นปกติ แต่เป็นการลองเพื่อให้รู้เท่านั้นว่าแก่กล้าเพียงใด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการปลุกธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าปลุกไฟมาให้เอาน้ำดับ ถ้าเป็นลมหรือน้ำมาให้เอาดินถม ท่านว่าธาตุดินแข็งที่สุด


    

พระเกจิอาจารย์ท่านกำลังนั่งปรกปลุกเสกพระเครื่องวัฒถุมงคล
ภาพจาก www.stonegiya.com


    แต่ถ้าปลุกเสกเดี่ยวจะปล่อยพลังได้เต็มที่ ไม่ต้องพะวง มีเท่าไหร่ปล่อยหมด อัดจนเต็มดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า พระเครื่องรุ่นไหนที่มีการปลุกเสกเดี่ยว รับรองพลังเต็มแน่นอน ถึงขนาดบางเหรียญเมื่อผ่านการปลุกเสกเดี่ยวแล้ว นำมาสวดยัดหรืออัดพลังเข้าไปอีก ถึงกับอัดไม่เข้าเลย เพราะพลังเต็มแล้วนั่นเองครับ ....