วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

พรายผีตายโหง

       
         พรายผีตายโหง คือวิญญานที่มากับของที่ผู้กระทำได้ส่งไปยังผู้ถูกกระทำ(โดนของ) เช่นโดนน้ำมันพราย กระดูกผีตายโหง หรือผงพรายที่อัดลงในเครื่องรางของขลัง ซึ่งวิญานเหล่านี้จะถูกใช้หรือบังคับด้วยเวทมนต์ ให้ตามสิ่งเหล่านี้มาเพื่อทำงานให้ มีตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ครับ

        เป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว ซึ่งโดนกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน โดยเขาจะปวดท้องตลอด กินยาก็พอบรรเทาซักพักก็ปวดอีก เขาว่าจะมีเสียงคนคุยกัน เสียงหัวเราะกล่อมอยู่ในหูตลอด ช่วงที่ปวดท้องแรงๆ เหมือนมีอะไรหนักๆทับเอาไว้ บางครั้งเหมือนกับมีอะไรมุดไปตามตัว ตามแขน และก็ดิ้นตุ๊บๆ อยู่ใต้ผิวหนังจนต้องเอามือกดไว้ ผู้เขียนเห็นว่าอาการเหมือนเคยเจอเลยพาไปหาหลางพ่อที่สำนักสงฆ์ท้ายหมู่บ้าน และนำไข่ไปด้วยสามฟอง

         พอไปถึงก็แต่งขันห้า ท่านหยิบขันขึ้นแล้วหลับตา พอคนป่วยบอกว่าปวดท้องท่านเลยเอาไข่แตะที่ท้อง พอแตะที่ท้องท่านถึงกับอุทานว่า "ของแรง!.." แล้วท่านก็กลิ้งไข่ไปตามแขน ตามขา ครบทั้งสามใบแล้วเคาะให้ดู ไข่ใบแรกที่เจอ คือ แมลงตัวเท่าปลายนิ้วก้อยมีเลือดติดมาด้วย ปีกสีดำมีหนวด ท้องสีขาวขุ่น ตอนที่เจอแมลงได้ตายแล้ว ใบที่สองมีน้ำดำๆและมีจุดสีขาว ใบที่สามมีจุดสีขาวจางๆ ท่านว่าแมลง คือ พรายที่เขาปล่อยมาพร้อมกับพรายผีตายโหง น้ำดำๆคือน้ำมันพราย จุดสีขาวคือตำแหน่งที่พรายผีตายโหงกินในส่วนต่างๆของร่างกาย ท่านว่ามันกินเลือดและกินลึก ที่เป็นเสียงคนพูดกล่อมในหูคือเสียงพรายผีตายโหง ซึ่งมีทั้งชายและหญิง
        หลวงพ่อเล่าว่า คนทำพอเขาทำแล้วเขาก็ปล่อยพรายผีตายโหงมาด้วยเพื่อมาคุมของ คือจัดการแทนคนทำทุกอย่าง ซึ่งคนที่โดนกระทำจึงเหมือนโดนผีเข้า และสิ่งเหล่านี้ก็ต้องกินเพื่อให้อยู่ได้ ก็คือกินเลือดของคนป่วยท่านว่าอย่างงั้น

        พอถอนเสร็จท่านก็ผูกแขนและประพรมน้ำมนต์ให้ เมื่อกลับมาบ้านอาการปวดท้องก็หายไปเอง  และรู้สึกโล่งเป็นปกติ

       ครับ..ที่เล่ามาเป็นเรื่องที่ตามองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ เป็นเรื่องของความเชื่อ..ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยครับ...สำหรับผู้เขียนแล้วเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง...


..............


วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

ผูกจิตมัดใจ

     ผูกจิตมัดใจ ถ้าเป็นคนผูกเราก็อยากไปหาคนๆนั้น แต่ถ้าเป็นผีผูกคือเขาอยากได้ไปอยู่ด้วยไปเป็นทาสหรือเป็นผัวเป็นเมีย เราก็อยากไปในสถานที่ๆผีนั้นอยู่..

     เคยสังเกตุหรือไม่ว่า ทำไมบางสำนักที่เราเคยไปแล้วเกิดความรู้สึกว่าอยากไปอีก ทั้งที่ไปแล้วก็ไปเห็นหลายอย่างที่ไม่น่าเชื่อถือ บางครั้งเราโดนด่า แต่พอกลับออกมาแล้วรู้สึกว่าอยากไปอีกและยินดีให้ด่า เพราะอะไร...เรียกว่าศิโรราบให้เขาหมด เราอาจโดนผูกหรือมัดจิต เราเคยบอกชื่อเขาหรือเปล่า ให้เสื้อผ้าหรือชิ้นส่วนในร่างกายเช่นเล็บ ผม แก่ใครไหม เพราะการกระทำใช้สิ่งเหล่านี้เป็นหลัก แต่บางสำนักไม่ใช้สิ่งเหล่านี้เลยแต่ใช้ผีแทน ใช้มาแฝงในร่างเราโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วควบคุมความรู้สึกนึกคิด คือตกอยู่ในอำนาจเขาหมด พอไปเห็นเขาแล้วกลับยินดีปรีดา เฝ้าเขาจนไม่อยากไปไหนเป็นยังงั้น ..




     ส่วนใหญ่คนที่เขาผูกเขาดึงให้ไปหา ก็มีสิ่งมุ่งหวังในตัวเรา บ้างหวังในร่างกาย บ้างหวังเงินทองลาภสักการะ ก็อย่างว่าครับสิ่งไม่ดีมักอยู่ไม่นาน ซักวันก็ต้องเสื่อม ก็ต้องมีคนรู้ เพราะคนทุกคนย่อมเป็นไปตากรรมของตน คนที่โดนผูกโดนมัดก็อาจมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คอยปกปักรักษา คอยดลจิตดลใจ ให้รู้หรือให้พบทางแก้เป็นต้น

     ส่วนกรณีผีผูก เมื่อโดนแล้วก็เหมือนคนโดนผีเข้าล่ะครับ มักเก็บตัว และอยากไปในสถานที่ๆผีนั้นอยู่ จะเป็นต้นไม้ใหญ่ หรือตามห้วยหนองคลองบึง  ปราสาทเก่าๆ เป็นต้น เมื่อไปแล้วจะไปขลุกอยู่ตรงนั้น สังเกตุคนที่โดนแบบนี้มักมือเย็น เท้าเย็น เล็บซีด หน้าซีด

วิธีแก้ ถ้าเป็นคนทำ เบื้องต้นอย่าไปที่นั่นอีก อย่าเอ่ยชื่อคนที่ทำให้คนป่วยได้ยิน แล้วหาอาจารย์ที่ท่านรักษาทางด้านนี้แก้ให้ ที่สำคัญคือให้รักษาร่างกายไปในตัว ให้หาหมอตรวจร่างกายเช็คสมอง คือบำบัดทั้งสองทาง เพราะถ้าร่างกายอ่อนแอคนก็อยู่ไม่ได้

และถ้าเป็นผีทำ อย่าให้ไปที่ตรงนั้นอีก ต้องมีคนคอยประกบอยู่ตลอด แล้วหาอาจารย์ที่ท่านรักษาทางด้านนี้ช่วยแก้ให้ ถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่าในกรณีแรก เพราะถ้าช้าไปอาจหมายถึงชีวิต อย่างกรณีที่เจอมา เป็นเด็กนักเรียนหญิงอายุ 14-15 ปี ญาติมัวแต่ใจเย็น ถึงเวลาที่เขาเอาเขาเอาง่ายๆ ผีที่เข้าร่างเด็กผู้หญิงหัวเราะเสียงดังครั้งสองครั้ง แล้วร่างเด็กนั้นล้มตึงลง เสียงเงียบ พร้อมกับลมหายใจก็เงียบด้วย เด็กนั้นใจขาดแล้ว 

     ครับถือว่าเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่เทียวไปสำนักนั้นสำนักนี้ รู้หน้าไม่รู้ใจ เราระวังตัวเองดีที่สุด เพราะเมื่อผิดพลาดมาอาจทำให้เสียเงินเสียทอง เสียเวลา อาจเสียทั้งร่างกายและเสียความรู้สึก...


............






วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

ปอบ

     ปอบ  คือวิญญาณที่อยู่ในรูปของหมา ลิง แมว ถ้าเป็นหมาก็จะมีสีดำ สีขาว สีแดง ก็มี ปอบมาจากไหน เท่าที่สอบถามผู้เฒ่าผู้แก่และผู้รู้ทั้งหลายนั้น มีที่มาจากสามที่หลักๆ คือ 1.คนที่เรียนของ  2.จากเครื่องรางทางมหานิยม มหาเสน่ห์  3.จากผีฟ้าผีแถน  และจากที่อื่นๆอีกอาจมีในที่นี้ไม่ขอกล่าวถึง ซึ่งทั้งสามที่มามีรายละเอียดดังนี้ครับ
    
     1.ที่มาจากคนที่เรียนของ  เรียนมาแล้วทำผิดหรือรักษาไม่ได้ ของที่เขาเรียนมาก็จะแปลสภาพ เริ่มออกขน กลายเป็นสิ่งที่กล่าวมาแล้ว หรือที่เรียนมาเป็นมนต์ดำก็จะมีปอบติดมาอยู่แล้วเพื่อไว้ใช้งานเช่นมีลิงหนึ่งตัว หรือสองสามตัวเพื่อไว้ใช้งาน เพียงแค่ว่าสิ่งเหล่านี้ยังอยู่ในอำนาจของคนที่เป็นเจ้าของ ก็มีบ้างตอนที่คนนอนหลับสิ่งเหล่านี้ก็ไปทั่ว บ้างก็ไปอำ ไปหยอก หรือไปทำให้เด็กร้องๆแบบไม่มีสาเหตุ แต่เมื่อคนที่เรียนของนั้นเริ่มทำผิด รักษาไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เริ่มแก่กล้าขึ้น เริ่มขยายพันธุ์คือ ออกลูก มีแม่มีลูก เริ่มกลายสภาพเป็นหมาดำ ในที่สุดก็เริ่มออกหากิน มันจะออกตอนกลางคืน ไปเข้าสิงไปแอบแฝงกับคนที่อ่อน เช่นคนป่วย จะเห็นว่าบ้านไหนที่มีคนป่วยแล้วตอนกลางคืนมักมีเสียงหมาเห่าหมาหอน นั่นล่ะสังเกตุได้ สงสัยสิ่งเหล่านี้เป็นอันดับแรก สุดท้ายก็กินตัวเองคือคนที่เรียนของนั่นล่ะ คนนั้นก็จะป่วยกระเสาะกระแสะ ตัวซีด ซึ่งเขาควบคุมไม่ได้แล้ว ในที่สุดก็โดนรุมทึ้ง....



    



     2.ที่มาจากเครื่องรางทางมหานิยม มหาเสน่ห์  ถ้าทางพุทธคุณล้วนนั้นไม่มีสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าเป็นสายดำแล้วจะมีสิ่งเหล่านี้แฝงมาด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นลิง แมว หนู ทำไมต้องใช้สิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งนี้ ใช้ได้เร็ว แรง สมใจนึก เพราะต้องคุมจิตใจคน เปลี่ยนจิตใจคน ให้หลงไหล ให้รัก ให้นิยมชมชอบ ประเภทว่ารักเรา หลงเรา ทำนองนั้น เช่น มีเซลล์มาขายของให้เราและได้พกเครื่องรางทางมหาเสน่ห์ติดตัวมาด้วย  ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะไม่เอาเพราะไม่ได้ใช้ แต่พอเจอหน้าเซลล์แล้วใจอ่อนเขาพูดไม่กี่คำ จิตใจเปลี่ยนหมดหันมาซื้อของเขา พอเขาไปแล้วค่อยมานึกได้ ถึงกับงงตัวเอง ซื้อมาได้ไง แบบนี้ก็มี  ถ้าเราเอาเครื่องรางเหล่านี้ไว้ในบ้านตอนกลางคืนก็จะกวนคนในบ้าน เทียวอำคนนั้นอำคนนี้ บ้างรังแกเด็กทำให้ร้องไห้ไม่ยอมหยุด จนคนในบ้านต้องนำเครื่องรางมาไว้นอกบ้าน  ค่อยสงบลง แบบนี้ก็มี

     3.ที่มาจากผีฟ้าผีแถน  ซึ่งก็คือ ผีที่บรรพบุรุษถือต่อๆกันมา เพราะสมัยก่อนคนไม่มีที่พึ่ง ยามเจ็บไข้ได้ป่วยก็พึ่งผี โดยจะมีร่างทรงเป็นเจ้าพิธี เครื่องทรงของเขาก็จะมี ผ้าซิ่น กระจกใช้ส่อง แป้ง หวี หมากพลู ที่ขาดไม่ได้ก็คือ หมอแคน คอยเป่าแคน เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย ร่างทรงก็ลำเพื่ออัญเชิญผีฟ้าหรือผีแถนมาเข้าร่าง หมอแคนก็เป่าไปเรื่อยตามสเต็ป พอผีเข้าร่างแล้วก็ลุกขึ้นฟ้อน หมอแคนก็ลุกตามพร้อมกับเร่งจังหวะ บ้างกระทืบเท้า บ้างเดินวนรอบคนที่ป่วย พร้อมกับส่องดูกระจกที่วางอยู่ในพานครู เพื่อดูว่าคนป่วยไปโดนอะไรมา ทำไมถึงป่วย ส่วนใหญ่ แล้วจะว่าโดนผีไร่ผีป่า หรือผีที่นาทำ สุดท้ายก็ดูว่า ทำไมเขาถึงทำ ลงเอยว่า เขาอยากกินเครื่องเซ่น เช่น เหล้าไหไก่ตัว หรืออยากได้ศาลใหม่ หรือข้าทาสชายหญิง แบบนี้เป็นต้น จบด้วยการผูกแขนเสร็จพิธี
     เหตุที่เขาเป็นปอบ เพราะทำผิด หรือ ถือไม่ได้ ผีที่ทรงเขาก็จะแปลสภาพ ออกขน บ้างเป็นลิง บ้างเป็นหมาดำ แล้วมีการออกลูก ขยายเพิ่มไปเรื่อยๆ ซึ่งเคยดูหลวงพ่อท่านไล่ปอบ ที่มาจากผีฟ้าผีแถน ท่านว่ามีถึง 29 ตัว ก็มี


 ภาพจาก http://www.prapayneethai.com/ 
การลำผีฟ้า

     สุดท้ายก็ออกแนวเดียวกัน คือ ออกหากินตอนกลางคืน ซึ่งคนที่เป็นเจ้าของหรือร่างของผีฟ้าผีแถนก็ดี ไม่สามารถควบคุมสิ่งเล่านี้ได้กับตกอยู่ในอำนาจของสิ่งเหล่านี้แทน และลงเอยด้วยการถูกสิ่งเหล่านี้กินเสียเอง คนก็ค่อยๆซีดลง ป่วยตลอด ในที่สุดก็ถึงแก่ชีวิต.......


 

เมื่อหลวงพ่อไล่ปอบ

     ท่านเป็นพระเกจิ ที่รักษาคนโดนของ คนโดนผีโดนปอบเข้า แต่ละวันจะมีคนมาหาท่าน มาให้ดูดวง จารหลัง บ้างก็มารักษาตัว ที่มารักษาส่วนใหญ่แล้วจะโดนของ และเรื่องผีรองลงมา

     วันนี้ก็เช่นกัน ประมาณช่วงค่ำ มีผู้หญิงวัยกลางคนและญาติมาด้วยกัน 4-5 คน  มาให้หลวงพ่อดูดวงให้  แล้วผู้หญิงคนที่ป่วยเล่าอาการให้หลวงพ่อฟังว่ามักได้ยินเสียงคนลำ(หมอลำ)ให้ได้ยิน พอได้ยินเสียงลำแล้ว เขาจะทรมาน บ้างปวดหัว บ้างเหนื่อย บางครั้งได้กลิ่นขมิ้น กลิ่นใบกล้วยที่เขาทำบายสี เป็นอย่างงี้ตลอด ท่านดูแล้วก็ทักว่าเป็นผีบรรพ์บุรุษกระทำ(ผีฟ้า) ท่านถามว่าได้ไปรับเขามามั้ย ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า "ไม่ได้ไปรับอะไรมาเลย"   หลวงพ่อท่านเลยว่า เป็นผีที่ปู่ญ่าตายายเขาถือกัน พอตายแล้ว ผีเหล่านี้ไม่มีที่เกาะ เลยมาเกาะรุ่นลูกรุ่นหลาน และตอนนี้กลายสภาพเป็นปอบแล้ว ท่านเลยให้อยู่วัดอย่างน้อยสามวันเพื่อรักษาตัว

     พอตอนค่ำท่านก็อาบน้ำมนต์ให้ พออาบน้ำมนต์เสร็จแล้วกลับไปที่พัก ไม่นานเขาก็เริ่มมีอาการ สั่น ร้องทุรนทุราย อยากกลับบ้านท่าเดียว พอมีใครมาพูดด้วยก็จะพูดยาวพูดไปเรื่อยไม่ยอมหยุด ท่านเลยห้ามไม่ให้พูดด้วย ให้อยู่เฉยๆ เขาจะพูดอะไรก็ช่างดูอย่างเดียว และอย่าไปเปิดหมอลำให้ได้ยิน เดี๋ยวจะขึ้นไม่ยอมหยุด ซึ่งหลวงพ่อท่านไม่ใช้ไม้แข็ง ท่านใช้ไม้อ่อน คือเจรจาเป็นอันดับแรกเพราะบางครั้งการเจรจาก็สัมฤทธิ์ผล  แต่รายนี้ไม่ยอมท่าเดียว ท่านเลยให้ลูกสิทธิ์ฝนว่านไฟและอีกหลายอย่าง ให้คนป่วยกิน เมื่อเจรจาไม่ได้ผลก็บีบให้ออก เริ่มแรกก็เผาข้างในก่อน บางตัวทนไม่ไหวก็ออก แต่ตัวนี้ แข็งมาก ท่านว่า มีถึง 29 ตัวมีตัวเป้งหนึ่งตัวกับลูกๆ  ซึ่งบางสำนักจะใช้ไม้แข็งเลย คือฆ่าออก บ้างก็จับลงหม้อถ่วงน้ำหรือฝังดิน แต่ท่านไม่ทำรุนแรงถึงขนาดนั้น ท่านเจรจาแล้วก็ค่อยๆบีบให้ออก โดยการเผาข้างใน คือให้กินน้ำมนต์และยาที่ให้ลูกสิทธิ์ฝนให้กิน

     ผ่านไปเกือบ 5 ทุ่ม ปอบก็ยังไม่ออก ไม่ไหวแล้วรบกวนชาวบ้าน รบกวนพระ ท่านพักผ่อน เมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ใช้ไม้แข็ง พูดกันดีๆไม่ได้แล้ว  เห็นท่านจุดธูปเก้าดอกอธิษฐานกับครูบาอาจารย์ แล้วเดินเข้าห้อง ท่านปิดห้องเงียบ ซักพักนึง ผู้หญิงที่โดนปอบเข้าร้องทุรนทราย ปากก็บอกว่ายอมแล้วๆร้อนๆ ดิ้นพล่าน แต่ก็ยังไม่ออก ท่านยังไม่ออกจากห้อง ในที่สุด ปอบทนไม่ไหว ร้องทุรนทุรายแล้วผู้หญิงคนนั้นล้มตึงไปเลย อาการก็สงบลง.. ปอบออกแล้ว.. ไม่นานท่านก็ออกจากห้อง แล้วนำฝ้ายมาผูกแขนผูกขาเพื่อกันให้

     มาตอนเช้า ท่านตรวจดูอาการอีกครั้ง เมื่อไม่มีอะไรแล้วก็ให้กลับบ้าน  ....ซึ่งปอบที่เข้าสิงนั้นเป็นพวกผีฟ้าผีแถนที่ปู่ย่าตายายถือ พอคนที่ถือตายแล้วก็มาเกาะลูกหลาน ช่วงไหนที่เรายังแข็งแรงก็ดูปกติ แต่ยามใดที่เราอ่อนหรือเจ็บป่วย สิ่งเหล่านี้จะคอยซ้ำเติม....

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

รูดทรัพย์

    
     เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เกิดกับหลานผู้เขียนเอง เขาทำงานเป็นแคชเชียร์ในร้านของพี่สาว เขาจะประจำอยู่หน้าเคาเตอร์เรียกว่าทุกวันจะมีคนมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามาในร้านมาซื้อของกินของใช้

     วันนี้ก็เช่นกัน ไม่ได้มาซื้อของแต่มาดูดวง เป็นคนแปลกหน้าไม่รู้มาจากไหน ตอนนั้นหลานผมเฝ้าร้านคนเดียว เขามาดูดวงให้ทักนั่นทักนี่แล้วจับมือ ซักพักนึงหมอดูบอกว่า"ขอเงินหน่อยจะเดินทางแล้ว" หลานผมไม่รู้อะไร เลยหยิบเงินให้เค้าเฉยเลย ยังไมพอ  เปิดลิ้นชักหยิบเงินร้านให้เขาอีกไม่รู้กี่พัน หมอดูพอได้เงินแล้วก็หายต๋อมไปเลย ซึ่งตอนนั้นเขายังเบลอๆอยู่ พอหมอดูไปแล้วค่อยได้สติถึงกับบ่นว่าเอาให้เขาไปได้ไงแถมเอาเงินร้านให้อีก

      เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยในหลายพื้นที่ เป็นไปได้ไหมว่า คนเหล่านี้เขามีของ จะเป็นคาถา หรือสิ่งที่ใช้ป้าย แตะ ทา ทุกรายจะเป็นแบบเดียวกัน คือ ชวนพูดคุย แล้วแตะมือ แตะตัว และคนที่โดนแตะก็เบลอๆ เขาอยากได้อะไรก็หยิบให้เขา ...ช่วยกันพิจารณาครับ

     นี่ก็อีกราย อยู่แถวอีสาน เขามีญาติไปทำงานต่างประเทศแล้วส่งเงินมาให้ทางบ้าน ญาติที่ไปรับเงินก็นำเงินใส่กระเป๋ามิดชิด แต่ไม่พ้นสายตามิจฉาชีพ เป็นคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้ามาพูดคุยด้วยแล้วไปส่ง ระหว่างทางคนขับมอเตอร์ไซค์ก็พูดไปเรื่อย แล้วลงท้ายคือขอเงิน คนที่เบิกเงินมาก็หยิบให้เขาหมด ยังดีที่เขายังมาส่ง พอเขาไปแล้วยังยืนงงอยู่พักนึง เมื่อได้สติถึงกับทรุด ผู้เสียหายเล่าว่าช่วงที่หยิบเงินให้นั้น รู้ตัวแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เหมือนตกในภวังค์

     เหตุการณ์แบบนี้เกิดบ่อยขึ้นทุกวัน ทั้งในเมืองใหญ่หรือตามชนบท มาในหลายรูปแบบ ..ช่วยกันระวังครับ...

อาถรรพ์เมรุเผาศพ

     จริงหรือไม่ที่สร้างเมรุเสร็จใหม่ๆมักมีคนตายติดต่อกัน อย่างน้อย 2-3ศพ และที่สำคัญซึ่งเห็นมาเยอะ คือพระที่สร้างเมรุ เมื่อสร้างเสร็จ ไม่นานท่านก็มรณภาพ อาจป่วยหรือเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งกรณีนี้เห็นมาหลายที่ทั้งที่หมู่บ้านข้างเคียงทั้งที่บ้านผมเอง ซึ่งที่บ้านผมนั้นพระที่ท่านสร้างเมรุ พอสร้างเสร็จไม่นาน ท่านเคลียดหรือยังไงไม่ทราบ ท่านผูกคอตาย เลยกลายเป็นว่าได้เผาตัวท่านเอง ผ่านมาปีกว่าๆเมรุโดนฟ้าผ่า ช่วงนั้นคนตายบ่อยมากถ้าไม่ป่วยก็อุบัติเหตุ ตายติดต่อกันอย่างน้อยสามศพ แล้วเว้นไป 2-3 เดือนก็เริ่มตายอีกถ้าไม่ป่วยก็อุบัติเหตุ ทั้งชาวบ้านเกิดการทะเลาะกันแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย  จนได้มีผู้รู้ชี้แนะว่าเมรุไม่ได้เจาะช่องลม ที่ด้านข้าง ทำให้มีอาถรรพ์แรง พอท่านเจาะช่องลมแล้วก็ดีขึ้น การตึงเคลียดทะเลาะกันของชาวบ้านก็สงบลง เรื่องการตายก็นานๆค่อยมี ไม่ตายถี่ เหมือนแต่ก่อน




เมรุเผาศพ
ภาพจาก www.oknation.net


     และที่หมู่บ้านข้างเคียงก็เป็นแบบเดียวกัน คือสร้างเมรุเสร็จไม่นาน พระอาจารย์ที่ท่านสร้างเมรุนั้นเกิดการอาพาธ ไม่นานท่านก็มรณภาพ เป็นว่าได้เผาท่านเองเป็นรายแรก และมีอีกหลายที่ๆเป็นแบบเดียวกันคือผู้สร้างประเดิมเป็นรายแรก(ส่วนใหญ่ครับ)

     นี่แหละครับ เมรุ คือจุดสุดท้ายที่ทุกคนต้องไป ถ้าไม่เผาก็ลงดิน มีเท่านั้นแล...